สูตรความงาม



เคล็ดลับการแต่งตัวสำหรับสาวรูปร่างอ้วนเพื่อให้หุ่นแลดูสูงเพรียวขึ้น นั้นต้องแต่งอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

1.ใส่เข็มขัดเส้นเล็กต่ำๆ
การใส่เข็มขัดเส้นเล็กจะช่วยทำให้ ดูมีสัดส่วนที่ดีขึ้นได้ การใส่เข็มขัดเส้นเล็กใส่ต่ำ ๆ ไว้ใต้สะโพก เทคนิคนี้ จะเป็นการพรางรูปร่าง ไม่ให้ดูเน้นส่วนพุงมากจนเกินไป

2.ไม่ควรใส่เสื้อผ้าไซส์ใหญ่หรือเสื้อผ้าคนอ้วน
เพราะจะยิ่งเน้นให้เห็นสัดส่วนที่ต้องการปกปิด ยิ่งถ้าใส่เสื้อผ้าไซส์ใหญ่มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเน้นให้ดูตัวใหญ่มากยิ่งขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะเสื้อผ้าแบบมัน ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งควรหลีกเลี่ยงให้ไกลเลย ที่สำคัญการเลือกใส่เสื้อผ้าคนอ้วน จะยิ่งทำให้รู้สึกว่ามั่นใจกับการแต่งตัวสวยๆ ในลุคคนอ้วนได้ โดยไม่ต้องมาคอยตระหนักถึงการลดความอ้วน เพื่อหาซื้อไซส์เสื้อผ้าเล็กๆ แบบนี้ก็จะทำให้การลดน้ำหนักไม่ประสบความสำเร็จได้ด้วย
3.สอดชายเสื้อเข้าไปในกางเกง
การแต่งแบบนี้จะทำให้สัดส่วนบริเวณเอวดูมีสัดส่วนขึ้น โดยทำให้ดูตัวเล็กลง สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ ส่วนเว้าส่วนโค้งมีมากยิ่งขึ้น อย่าปล่อยชายเสื้อ เพราะถ้าเราไม่ได้มีรูปร่างที่สูงมาก ชายเสื้อจะยิ่งทำให้รูปร่างดูบาน และดูอ้วนเตี้ยมากยิ่งขึ้นไปอีก
4.เลือกใส่กระโปรงทรงเอ
สำหรับสาวอวบอ้วนที่มีสะโพกใหญ่ ควรเลือกใส่กระโปรงแบบคนอ้วนหรือชุดแซกที่เป็นทรงเอจะดีกว่าซึ่งมันจะช่วยพรางสะโพกได้เป็นอย่างดี แต่ในปัจจุบัน ร้านขายเสื้อผ้าคนอ้วนก็มีเสื้อผ้า ให้เลือกหลากหลายแบบ เราควรเลือกแบบที่เหมาะสมกับรูปร่างของเราเอง เพราะการเลือกใส่เสื้อผ้าตามแฟชั่นนั้น บางครั้งนอกจากไม่เหมาะกับเราแล้วยังทำให้ความมั่นใจลดน้อยลงได้อีก ดังนั้นการเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะกับเรา จะช่วยทำให้เราดูดีมากขึ้นกว่าเดิมได้ 
5.ใส่รองเท้าส้นสูง
การใส่รองเท้าส้นสูงก็ช่วยได้ เพราะมันทำให้ดูตัวสูงขึ้น ให้ใส่ชุดเดรสร่วมด้วย เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ดูเพรียวขึ้นได้อีกเยอะเลยทีเดียว
6.หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงยีนส์ขาบาน
เลือกกางเกงยีนส์ เราควรพิถีพิถันต่อการแต่งตัวให้มากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกกางเกงยีนว์ตัวโปรด
กางเกงยีนส์ขาใหญ่ตัวพอง ๆ ยิ่งขับเน้นให้ขาดูใหญ่ขึ้น ทำให้รูปร่างโดยรวมยิ่งดูตันมากกว่าเดิม
ควรเลือกกางเกงยีนส์ที่กระชับกับช่วงขา พับขากางเกงขึ้นเล็กน้อย และสอดชายเสื้อไว้ในกางเกง เหมือนกับที่ได้แนะนำไปในข้างต้น วิธีนี้จะทำให้รูปร่างดูโปร่งมากขึ้น
7.เลือกเสื้อผ้าสีเข้ม
เป็นหลักพื้นฐานที่ทุกคนเข้าใจอยู่แล้วว่า เสื้อผ้าสีเข้มจะมีส่วนช่วยทำให้รูปร่างของเราดูเล็กลง
ตรงข้ามกับเสื้อผ้าสีอ่อน จะทำให้รูปร่างของเราดูกว้างและใหญ่ขึ้น ดังนั้นสำหรับสาว ๆ คนไหนที่มีรูปร่างอวบอ้วน ควรเลือกใส่เสื้อผ้าสีเข้ม หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ถ้าคุณไม่อยากดูตัวใหญ่มากกว่าเดิม
8.เลือกสีเสื้อผ้าโทนเดียว
การใส่เสื้อผ้าสีโทนเดียว หรือโทนสีที่มีความใกล้เคียงกัน ย่อมดีกว่าการใส่หลากหลายสีอย่างแน่นอน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของผู้สวมใส่ด้วย หากการใส่หลากหลายสีแล้วทำให้คุณมีความมั่นใจ ก็สามารถใส่ได้ตามความต้องการของคุณเลย
9.ไม่สวมเสื้อผ้าที่ปิดมิดชิด
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะมันจะทำให้คุณดูแน่นมากขึ้นมากกว่าเดิม และทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างมากทีเดียว โดยเทคนิคง่าย ๆ โดยการพยายามโชว์สัดส่วนที่คิดว่าดูผอม หรือการโชว์ช่วงไหล่สักเล็กน้อย แค่นี้ก็ช่วยให้หุ่นดูผอมเพรียวขึ้นได้แล้ว
10.หลีกเลี่ยงชุดรัดรูป
หากคุณมีรูปร่างอ้วนแล้ว การใส่เสื้อผ้ารัดรูป ยิ่งเป็นการเน้นให้เห็นถึงสัดส่วนที่อวบอ้วนให้เด่นมากยิ่งขึ้น 
ควรเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าที่พอดีตัว หรือตัวใหญ่นิดหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใหญ่กว่าตัวมาก ซึ่ง การแต่งตัวอำพรางหุ่น แบบนี้ถือว่าช่วยได้เยอะมากแล้วเช่นกัน

--------------------------------------------------------------------------------------------------
สูตรเด็ด!! ลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนภายใน 3 วัน

วันที่ 1

- อาหารเช้า ด้วย น้ำส้ม (หรือชา/กาแฟ ไม่ใส่น้ำตาลสำหรับคนที่ชอบทานตอนเช้า) หรือ  ขนมปังปิ้งจนแห้ง ไม่ทาอะไร 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง ผัก จิ้มน้ำพริก หรือ ยำผักโดยไม่ใส่เนื้อสัตว์ใดๆ หรือ ส้มตำผักล้วน ผลไม้ 1 อย่าง
- อาหารกลางวัน เริ่มที่ น้ำส้ม หรือ  ขนมปังปิ้งจนแห้ง ไม่ทาอะไร 1 แผ่น ปลานึ่ง หรือ ย่าง ห้ามใช้น้ำมัน และ ผัก จิ้มน้ำพริก หรือ ยำผักโดยไม่ใส่เนื้อสัตว์ใดๆ หรือ ส้มตำผักล้วน*
- อาหารเย็น น้ำส้ม ผัก จิ้มน้ำพริก หรือ ยำผักโดยไม่ใส่เนื้อสัตว์ใดๆ หรือ ส้มตำผักล้วน เนื้อไม่ติดมัน ย่างหรือนึ่ง ห้ามใช้น้ำมัน

วันที่ 2

- อาหารเช้า น้ำส้ม นมสด 1 แก้วเล็ก (200 cc) ขนมปังปิ้งจนแห้ง ไม่ทาอะไร 1 แผ่นไข่ต้ม 1 ฟอง ผลไม้
- อาหารกลางวัน น้ำส้ม ขนมปังปิ้งจนแห้ง ไม่ทาอะไร 1 แผ่น ผัก ต้มจิ้มน้ำพริก หรือ ยำผักโดยไม่ใส่เนื้อสัตว์ใดๆ หรือ ส้มตำผักล้วน ผลไม้
- อาหารเย็น น้ำส้ม นมสด 1 แก้วเล็ก (200 cc) ปลานึ่ง หรือ ย่าง ห้ามใช้น้ำมัน ผัก ต้มจิ้มน้ำพริก หรือ ยำผักโดยไม่ใส่เนื้อสัตว์ใดๆ หรือ ส้มตำผักล้วน
วันที่ 3

- อาหารเช้า น้ำส้ม นมสด 1 แก้วเล็ก (200 cc) ขนมปังปิ้งจนแห้ง ไม่ทาอะไร 1 แผ่น ผลไม้ โยเกิร์ต ส่วน
- อาหารกลางวัน น้ำส้ม ขนมปังปิ้งจนแห้ง ไม่ทาอะไร 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟองผัก จิ้มน้ำพริก หรือ ยำผักโดยไม่ใส่เนื้อสัตว์ใดๆ หรือ ส้มตำผักล้วน
- อาหารเย็น น้ำส้ม นมสด แก้วเล็ก (200 cc) ปลา/เนื้อนึ่ง หรือ ย่าง ห้ามใช้น้ำมัน ผัก จิ้มน้ำพริก หรือ ยำผักโดยไม่ใส่เนื้อสัตว์ใดๆ หรือ ส้มตำผักล้วน
ลองทำดูน่ะค่ะ ต้นฉบับเป็นคุณแม่ลูก 3 ลดได้ 4 กิโลเลยค่ะ ไม่ต้องทนหิวด้วย
เครดิตร : คุณ ตุ๊ก – กชพรรณ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
6 อาหารที่ให้พลังงานสูง ไขมันต่ำ...กินยังไง ก็ไม่อ้วน
                        
ร่างกายคนเราต้องการพลังงานในแต่ละวันอย่างเพียงพอ มิเช่นนั้นอาจเกิดอาการอ่อนเพลีย หมดแรง ไม่สามารถทำงานทำการได้ หรือพาลหน้ามืด ใจสั่นเลยก็ได้...ดังนั้นสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก ต้องเข้าใจอย่างถูกต้องก่อนว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการควบคุมน้ำหนัก คือไขมัน ไม่ใช่พลังงาน...จึงต้องเลือกทานอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ให้พลังงานสูง ให้เพียงพอที่ร่างกายต้องการเพื่อรักษาสมดุลของร่างกายเอาไว้ และทำงานได้ตามปกติ...อาหารที่ให้พลังงานสูงจะทำให้เราไม่โหย ผิดกับไขมันแม้เพียงน้อยนิดแค่ กรัมกลับเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ถึง แคลอรี่ ดังนั้น เรามาดูกันดีกว่า ว่าอาหารอะไรบ้างที่ให้พลังงานสูง แต่มีไขมันต่ำ เพื่อจะได้เลือกทานได้ถูกต้อง และลดน้ำหนักอย่างได้ผล
1. เนื้อไก่ไม่ติดมัน (อาหารที่ให้พลังงานสูง ไขมันต่ำเราอาจรู้สึกไม่กล้ากินอาหารประเภทเนื้อ เพราะกลัวน้ำหนักจะเพิ่มขึ้น แต่แท้จริงแล้ว...แม้อยู่ในช่วงควบคุมอาหารก็ต้องรับประทานเนื้อบ้าง เนื่องจากอาหารประเภทเนื้อให้พลังงานสูง ช่วยไม่ให้เราหิวบ่อย เพียงแต่ต้องรู้จักเลือกเช่น เนื้อไก่ไม่ติดมัน แล้วนำไปปรุงโดยวิธี ต้ม นึ่ง หรือย่าง แทนการผัด ทอดที่ต้องใช้น้ำมันมาก เพียงเท่านี้เราก็จะได้อาหารที่มีพลังงานสูง ไขมันต่ำ ทานเพื่อควบคุมน้ำหนักกันแล้วค่ะ
2. เนื้อปลา (อาหารที่ให้พลังงานสูง ไขมันต่ำเป็นที่รู้กันดีว่า การรับประทานเนื้อปลาไม่ทำให้อ้วน แต่อย่าลืมว่า...ต้องนำไปปิ้ง นึ่ง ย่าง เท่านั้น เพราะไม่ได้ใช้น้ำมัน หรือหากนำไปทอดก็ต้องเลือกน้ำมันที่มีไขมันต่ำ เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันถั่วเหลือง
3. อาหารประเภทไข่ (อาหารที่ให้พลังงานสูง ไขมันต่ำเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ควรเลือกในวันที่ต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์ ให้พลังงานสูง แต่มีไขมันต่ำ ซึ่งไข่สามารถนำมาปรุงอาหารได้มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเมนูไข่ต้ม ไข่ตุ๋น แต่สำหรับไข่เจียวที่ต้องทอดด้วยน้ำมันเยอะๆ ควรเลี่ยง ถึงจะแสนอร่อยก็ตาม
4. อาหารประเภทถั่วต่างๆ (อาหารที่ให้พลังงานสูง ไขมันต่ำไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง หรือแม้กระทั่งอัลมอนด์ เมนูอาหารที่มีถั่วเป็นส่วนประกอบ จัดได้ว่าเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง ไขมันต่ำ ที่อุดมไปด้วยโปรตีน รับประทานแล้วอิ่มง่าย อิ่มนาน ป้องกันการเผลอกินจุบจิบได้ดี และแม้จะมีไขมันก็เป็นไขมันประเภทไม่อิ่มตัว หากต้องการควบคุมน้ำหนัก กินธัญพืชประเภทถั่ว รับรองช่วยได้
5. ข้าวกล้อง (อาหารที่ให้พลังงานสูง ไขมันต่ำธัญพืช-อาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ให้แคลอรี่สูง แม้จะต้องการควบคุมน้ำหนัก ลดความอ้วนก็ตาม แต่ร่างกายยังต้องการพลังงาน ไม่ควรปล่อยให้หิว เพราะการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหาร เป็นการทำลายสมดุลในร่างกายให้เสียไป การทำให้ร่างกายสร้างกลไกไม่ต้องการอาหารไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้อง เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ทนหิวต่อไปไม่ไหว จะกลับมากินหนักกว่าเดิม และทำให้น้ำหนักพุ่งขึ้นสูงกว่าเดิม ก่อนที่จะควบคุมอาหารซะอีก หรือที่เรียกว่า "อาการโยโย่" นั่นเอง ดังนั้น จึงไม่ควรงดอาหารหลักประเภทข้าวที่ให้พลังงานแต่ควรเปลี่ยนจากข้าวขาวมาเป็นข้าวกล้องแทน เพราะเป็นข้าวที่กินแล้วอิ่มนานแม้กินไม่มาก
6. ผลไม้บางประเภท (อาหารที่ให้พลังงานสูง ไขมันต่ำการรับประทานผลไม้ก็ควรเลือกให้ดี แม้ว่าผลไม้ส่วนใหญ่จะให้พลังงานต่ำก็จริง แต่ก็มีผลไม้บางชนิดที่มีทั้งแป้ง น้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก เป็นต้น ควรรับประทานแต่พอประมาณโดยคำนวณแคลอรี่ให้ดี 
   แม้อยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนักต้องไม่อดอาหาร ควรกินให้อิ่มพอดีด้วยอาหารที่ให้พลังงานสูง แต่ไขมันต่ำเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่พอเพียงในการใช้พลังงานในแต่ละวัน แต่หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงเพื่อไม่ให้มีพลังงานเหลือใช้และสะสมอยู่ในร่างกาย อาหารหลัก หมู่เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นเสมอ เพราะเราต้องใช้ร่างกายนี้อีกนาน
   กินอย่างมีโภชนาการถูกต้อง ออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานที่กินเข้าไป นอกจากไม่เหลือพลังงานให้แปลงเป็นไขมันแล้ว ยังได้ร่างกายที่เฟิร์ม แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอีกด้วย ทำความรู้จักอาหารที่ให้พลังงานสูง แต่ไขมันต่ำเอาไว้ เพื่อดูแลสุขภาพของตัวเองและคนที่คุณรักนะค่ะ
เครดิตร: ที่มาบทความจาก sukkaphap-d.com
---------------------------------------------------------
12 สรรพคุณ...ประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่  เจ้าแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ


ประโยชน์ของสตรอเบอรี่ บำรุงผิวพรรณ
สตรอเบอร์รี่ยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ โดยเฉพาะบริเวณผิวหน้าของเราให้รอดพ้นจากอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยและดูแก่ก่อนวัยได้ดีมาก ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอย่างเหลือเฟือ หรือจะนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางที่ช่วยบำรุงผิวตามส่วนต่างๆ ของร่างกายก็ให้คุณค่าไม่น้อยเช่นกัน
12 สรรพคุณของสตรอเบอร์รี่
1. สตรอเบอรี่ช่วยชะลอวัย ป้องกันมะเร็ง เป็นที่ทราบกันดีว่าอนุมูลอิสระคือสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งหลายๆ ชนิด แต่ในสตรอเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอย่างเควอซิติน (Quercetin) เคมเฟอรอล (Kaempferol) และแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่จะช่วยลดและชะลอการทำงานของอนุมูลอิสระ ยับยั้งและป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
2. ประโยชน์สตรอเบอรี่ช่วยบำรุงสายตา สารต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์รี่มีส่วนช่วยดูแลสายตา โดยเฉพาะยิ่งอายุมากขึ้น สายตาก็ยิ่งเสื่อมลงตามไปด้วย แต่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างฟลาโวนอยด์ กรดฟีนอลิก และวิตามินซี จะช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของดวงตาได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ การมองเห็นยังคงชัดเจนและเป็นปกติ ป้องกันโรคต้อกระจก
3. สตรอเบอรี่ช่วยบำรุงผิวพรรณ เพราะวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์รี่มีส่วนในการเสริมสร้างคอลลาเจน จึงช่วยชะลอวัย ลดการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี ป้องกันการเสื่อมของผิว
4. สตรอเบอรี่นำมาพอกหน้าได้ หากนำสตรอว์เบอร์รีสดมาฝานบางๆ วางให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส
5. สตรอเบอร์รี่มีสรรพคุณลดน้ำหนักได้ เหมาะกับคนที่อยากจะลดน้ำหนักมากทีเดียว เพราะให้พลังงานต่ำ อุดมด้วยเส้นใยอาหารทำให้อิ่มท้องนาน สุขภาพของระบบขับถ่ายก็ดีตามไปด้วย
6. สตรอเบอรี่มีประโยชน์ล้างสารพิษ ป้องกันโรคเกาต์ได้ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าสตรอเบอรี่ช่วยล้างพิษออกจากร่างกายอย่างกรดยูริกที่จะสะสมอยู่ตามข้อต่อของกระดูก จนเมื่ออายุมากขึ้นจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ได้ ทำให้สุขภาพร่างกายโดยรวมแข็งแรงดี
7. สตรอเบอรี่ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง เพราะอนุมูลอิสระจะทำให้เนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมลง แต่สารอนุมูลอิสระที่มีในสตรอเบอร์รี่คือวิตามินซีและไฟโตนิวเทรียนต์จะทำให้อนุมูลอิสระน้อยลง ชะลอการเสื่อมของสมอง และมีไอโอดีนที่จะส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมองด้วย
8. สรรพคุณสตรอเบอรี่ช่วยปรับความดันโลหิต เพราะในสตรอเบอรี่มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ทำหน้าที่ช่วยในการปรับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
9. สตรอเบอรี่ช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี ป้องกันโรคหัวใจจากเส้นใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากในสตรอว์เบอร์รี และยังช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี ทำให้หลอดเลือดสะอาดเพราะไม่มีไขมัน
10. สตรอเบอรี่ช่วยดูแลสุขภาพภายในช่องปาก ช่วยให้เหงือกและฟันแข็งแรง รักษาแผลในปาก และระงับกลิ่นปาก ลมหายใจสะอาดหอมสดชื่น
11. สตรอเบอร์รี่มีซูเปอร์ไฟเบอร์เพกติน ที่จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี
12. สตรอเบอรี่มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ และหากกินผลสดครั้งละ 5 ลูก จะช่วยในการขับปัสสาวะ รวมทั้งบรรเทาอาการท้องร่วงก็ได้ เพราะมีวิตามินซีและธาตุเหล็ก

บรรดาอนุมูลอิสระนั้นจัดเป็นศัตรูตัวร้ายต่อสุขภาพร่างกายทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเราต้องเจอะเจออยู่ทุกวันและไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้ากินสตรอเบอร์รี่ได้ทุกวัน บอกเลยว่าสรรพคุณและประโยชน์ของสตรอเบอรี่สามารถช่วยให้เราห่างไกลจากอนุมูลอิสระทั้งหลาย เพราะสารต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์รี่ที่มีมากเป็นกองทัพจะช่วยปราบปราม สมกับฉายา "เจ้าแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ"

ขอบคุณที่มาบทความจาก : sukkaphap-d.com

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สูตรผิวกระจ่างสดใส  ออร่าพุ่งไปไกล 10 กิโลเมตร 


ส่วนผสมที่ใช้ :  แอปเปิลหั่นชิ้น 1 ลูก น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ปั่น ปั่น ปั่น ให้เข้ากัน

วิธีใช้ : ทาทั่วหน้า เว้นรอบบริเวณดวงตา พอกทิ้งไว้ 20-30 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำอาทิตย์ละครั้ง

ง่ายไชไหมล่ะค่ะ....ลองทำดูน๊าาาาา

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น